NT สัมภาษณ์คุณหมอไพโรจน์ จรรยางค์ดิกุล
อยากให้คุณหมอช่วยแนะนำชื่อ อาชีพ และตำแหน่งงานนิดนึงนะคะ
ชื่อ นายแพทย์ไพโรจน์ จรรยางค์ดิกุล อายุ 53 ปี เป็นพยาธิแพทย์ ที่โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ อยู่ในวงการแพทย์ ประมาณ 25 ปี คำว่าพยาธิแพทย์จะดูแลในเนื้อหางานทางด้านพยาธิวิทยา ซึ่งถือว่าเป็นแกนของวิชาทางการแพทย์ เป็นงานเบื้องหลังของผู้ที่คอยให้คำตอบ จากที่เค้าตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ เราจะเป็นคนให้การวินิจฉัย เพราะฉะนั้นพยาธิแพทย์จะต้องเป็นคนรู้จักโรคทุกโรค แต่เราไม่ต้องรักษาโดยตรง
คุณหมอมีหลักการอย่างไรบ้าง ที่เลือกให้ลูกชายไปเรียนแพทย์ที่ประเทศจีน
คือจริงๆ ต้องยอมรับว่าการแข่งขันมันสูง ถ้าศักยภาพของเค้าสามารถแข่งขันได้ด้วยตัวเองก็จะได้ตามนั้นไปเลยเป็นทางที่ง่ายสุดในการเข้าสู่วงการ ต้องยอมรับนิดนึงว่าอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่มีค่านิยมสูงสุด เด็กๆทุกคนก็เห็นและก็มีความใฝ่ฝัน เพราะเห็นแล้วว่าฐานะในสังคมในอนาคต ความมั่นคงในชีวิต ถ้าเกิดชอบงานที่ดูน่าสนุกตื่นเต้นตลอดเวลา แถมได้ช่วยคน ทุกอย่างเป็นคำตอบที่อยู่ในตัวมันหมด ที่ทำให้ทุกคนก็มุ่งมาสอบแข่งขันกัน สมัยนี้ยังดีรับปีละเป็นพัน สมัยก่อนรับปีแค่ห้าร้อยคน และสอบครั้งเดียวไม่มีแก้ตัว ปัจจุบันเราก็เห็นอยู่ว่าการรับนักศึกษาแพทย์ปีนึงเป็นสองพันขึ้นไป และในอดีตเราก็เห็นว่าหากสอบไม่ผ่านและอยากเข้าสู่การเป็นแพทย์ได้ คือต้องไปเรียนแพทย์ที่ต่างประเทศ ประเทศที่เราคุ้นเคย ก็จะเป็นประเทศอินเดีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งส่วนใหญ่ทั้งสองประเทศนี้จะต้องจบด้านปริญญาตรีทางด้านวิทยาศาสตร์มาก่อนแล้วถึงจะไปศึกษามหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ของเค้าอีกสี่ปี ซึ่งเป็นหลักสูตรเดียวกันกับแพทยศาสตร์ของอเมริกา เป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสูตรสำเร็จมาโดยตลอดเราก็จะเห็นอยู่หลายคนที่เดินทางนั้น บางคนก็โดดเด่นขึ้น และเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเยอะแยะ พอตอนนี้มีแพทย์ประเทศจีน ซึ่งเป็นโอกาสหนึ่งที่ดี เราจึงคิดว่าไม่เป็นปัญหา ดังนั้น จริงๆ แล้วการเรียนแพทย์เนี่ยมันไม่จำเป็นต้องจบมาในไทย ไม่จำเป็น คือพยายามสอนทุกคนว่าจบแพทย์เนี่ยจบที่ไหนก็ได้ถ้าที่ที่นั้นได้รับการรับรองหลักสูตรแล้วสามารถกลับมาสอบใบประกอบวิชาชีพ ได้ ถ้ายิ่งประเทศที่ไปสามารถสอบ license ที่อเมริกาได้อันนั้นถือว่าแน่จริง ถ้าแข่งแล้วชนะคุณก็เรียนอยู่ในไทยเนี่ยแหละ แต่ถ้าเกิดแข่งแล้วไม่ชนะก็มีทางเลือกนึงจะไปอินเดีย หรือฟิลิปปินส์ อันนั้นก็เป็นอนาคต พอตอนหลังเนี่ยเราก็เห็นจีนก็เป็นแห่งแรกที่เปิดหลักสูตรอินเตอร์ ในการเรียนแพทย์หกปี ซึ่งก็ทำให้ดีกว่า แทนที่จะต้องจบปริญญาตรีแล้วค่อยไปเรียน เราก็สามารถเข้าสู่หลักสูตรนี้ได้ตั้งแต่ต้น คำถามก็คือว่าหลักสูตรนี้มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน อันนี้ไม่ใช่หน้าที่เราและ อันนี้เป็นหน้าที่ของแพทยสภา ที่เค้าได้ไปทำการเช็คและรับรองหลักสูตรมา แพทยสภาทำหน้าที่เค้าเต็มที่ และในขณะเดียวกัน ก็มีเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดว่าเมื่อคุณจบมา คุณจะต้องทำหน้าที่คุณผ่านก็คือได้ใบประกอบวิชาชีพ คุณถึงจะมีศักดิ์และศรีที่คุณจะเป็นแพทย์ เนี่ยก็เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อไปในอนาคต สำคัญที่สุดคือเมื่อจบแพทย์แล้วต่างหากว่าคุณต้องสอบlicenceให้ผ่าน สเต็ปต่อจากนั้นสำคัญที่สุด คือ การที่เข้าสู่วิชาเฉพาะทาง นั่นคือที่บอกลูกว่าเมื่อจบแล้วคุณเข้าสู่สิ่งที่คุณชอบได้หรือไม่ คุณอยากจะเป็นอายุรแพทย์ หมอเด็ก แล้วแต่ตัวเอง สำคัญที่สุดคือตอนนั้นต่างหากที่คุณจะต้องสร้างตัวคุณ ให้อยู่ในด้านนั้นได้อย่างชาญฉลาด เพราะการเป็นแพทย์เนี่ยคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต
หลังจากที่น้องไปเรียนแพทย์ที่จีน ที่มหาวิทยาลัย Capital Medical University คุณพ่อรู้สึกว่าหลักสูตรเป็นอย่างไรบ้าง
เท่าที่ดูจากหลักสูตรแล้ว ก็โอเค เพราะเมื่อเวลาเค้ากลับมา เราคุยอะไรกับเค้าก็จะอยู่ใน track ที่เราคุ้นเคย ว่ามันก็เรียนกันอย่างนี้แหละลูก เพียงแต่ว่าสมัยเราอย่างนึง เท่าที่ดูหลักสูตรถ้าแพทยสภาไปประเมินหลักสูตรแล้ว หลักสูตรมหาวิทยาลัยก็อยู่ในหลักสูตรที่มันควรจะเป็น
หลังจากที่ส่งน้องไปแล้ว น้องมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง แล้วคุณหมอและคุณแม่มีความรู้สึกอย่างไรบ้างคะ
คือแรกๆเราก็หนักใจเหมือนกันว่าเค้าจะคุ้นเคยไหม เพราะหนึ่งมันเป็นเรื่องของภาษา และเรื่องของวัฒนธรรมของประเทศจีนที่อาจจะต่างจากของเราค่อนข้างเยอะ แต่ที่เรามองว่าจุดที่เค้าได้เปรียบคือ เค้าไปเรียนในหลักสูตรที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นพื้นฐานในการเรียน และได้ภาษาที่สาม คือภาษาจีน นั่นคือเป็นBenefit ที่เรารู้สึกว่าคุ้มค่า
อยากให้คุณหมอบอกความรู้สึกต่อศูนย์แนะแนว เอ็นที เอ็ดดูเคชั่น ซักนิดนึงค่ะ
เอ็นทีมีความกระตือรือร้นที่เข้ามาช่วยในทุกขั้นตอน ซึ่งพ่อแม่ก็เห็นว่ามีความกระตือรือร้น และก็ทุ่มเท เพราะว่าถ้าไม่มีคนเชื่อมให้พวกเราไปเรียนอย่างนี้ บอกเลยว่าเป็นไปได้ยาก อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องขอบคุณ
อยากให้คุณหมอให้คำแนะนำต่อเด็กรุ่นใหม่ที่อยากจะเข้ามาเรียนในทางสายแพทย์ค่ะ
ต้องให้เด็กตอบตัวเองให้ได้ก่อน การที่เด็ก NT เข้ามาเรียนแพทย์ไม่ใช่ ไฟนอลในชีวิตนะครับ การจะเป็นแพทย์ที่ดีได้ในอนาคตต่างหาก เพราะฉะนั้นต้องบอกว่าการจะเป็นแพทย์ที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่มันอยู่ที่ตอนทำงาน ไม่ได้อยู่ที่ตอนเรียน การเรียนในสถาบันหลักเป็นสิ่งที่ได้เปรียบคุณจะมีรุ่นพี่อีกเยอะ แต่อันนั้นไม่ได้การันตีความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่การันตีความสำเร็จในชีวิต คือตัวเองเราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าตัวเองดีพอที่จะขึ้นมาสำเร็จในอาชีพนี้
NT เป็นแค่ฟันเฟืองหนึ่งในสายพานที่จะนำนักเรียนแพทย์เหล่านี้ให้เข้าสู่กระบวนการผลิตแพทย์ สุดท้ายออกมามันจะเป็นบุคลากรที่ดีหรือไม่นั้น มันต้องไปคิวซีอีกทีตอนท้าย เพราะว่าหลังจากเครื่องจักรเครื่องนี้ จบมาได้ปริญญา ได้ใบประกอบวิชาชีพแล้ว คุณยังต้องทำอะไรอีกเยอะเลย ว่าคุณถึงจะรู้แล้วนะว่าแพทย์ต้องทำอะไร
อยากให้คุณหมอแนะนำผู้ปกครองว่าผู้ปกครองที่อยากจะส่งลูกไปเรียนจีนควรเตรียมตัวอย่างไร
ผู้ปกครองควรตอบคำถามให้ได้ก่อนว่าหนึ่งบุตรหลานที่ตัวเองจะส่งไปนั้น เค้าอยากเป็นแพทย์จริงหรือไม่ ต้องตอบโจทย์ข้อนี้ให้ได้ ถ้าเค้าอยากเป็นแพทย์จริงๆแล้ว แล้วมีข้อจำกัดในบางเรื่อง เช่นในเรื่องของความรู้พื้นฐานที่ตัวเองสั่งสมมาก่อนที่จะเข้ามาสู่หลักสูตรนี้ บางทีมันก็เป็นเรื่องสำคัญ ว่าถ้ามั่นใจว่าลูกหลานของตัวเองอยากเป็นแพทย์ รู้อยู่แล้วว่าเข้ามีข้อจำกัดในเรื่องนี้ อย่างน้อยที่สุดต้องให้กำลังใจเด็ก บอกว่าทุกอย่างมันสามารถเรียนรู้กัน และตามทันกันได้ต้องให้เข้าใจอย่างหนึ่งว่าคนที่เข้ามาสู่ระบบของการเรียนแพทย์ไม่ได้มีใครเก่งกว่าเราหลอก อยู่ที่ว่าใครขยันกว่าใครตอนนี้ ยังไงคือหนึ่งต้องให้กำลังใจบุตรหลานว่าจะต้องสู้ การเรียนแพทย์เนี่ยหนักเมื่อเทียบกับคณะอื่นที่เป็นสาขาที่ไม่ใช่แพทย์ หนักกว่ากันเยอะ ต้องให้กำลังใจบุตรหลานว่า เส้นทางเนี้ย มันไม่ได้ราบรื่นแล้ว มันเหนื่อย แต่มันจะภูมิใจเมื่อจบ ต้องคอย support กัน