สัมภาษณ์พี่เพชร นักศึกษาแพทย์โปรแกรม MBBS จาก Capital Medical University
สวัสดีครับ ผม นายพชร คล้ายทับทิม (เพชร) ตอนนี้กำลังเป็นนักศึกษาของ มหาวิทยาลัย Capital Medical university ( 首都医科大学 ) อยู่ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัย Capital Medical University ( 首都医科大学 ) ตั้งอยู่ในส่วนทางใต้ของเมืองปักกิ่งครับชื่อย่านคือ you an men wai ( 右安门外 ) ตั้งอยู่ไม่ไกลใจกลางเมืองของปักกิ่ง การคมนาคมในบริเวณมหาวิทยาลัยถือว่าสะดวกสบายในระดับหนึ่งครับเพียงนั่งรถประจำทางไม่กี่ป้ายก็ถึงรถไฟฟ้าใต้ดิน คนที่อยู่ในเมืองปักกิ่งที่นี่จะใช้รถไฟฟ้าใต้ดินในการคมนาคมครับเพราะมีความสะดวกและรวดเร็วและประเด็นสำคัญคือราคาของรถไฟฟ้าใต้ดินมีราคาประมาณ 2 หยวนตลอดการเดินทาง หมายถึงว่าถึงแม้น้องๆจะเปลี่ยนสายกี่สายก็ต้องตามก็ยังมีราคาคงเดิมคือ 2 หยวนเท่านั้นครับ
ในส่วนของตัวมหาวิทยาลัยเองเนื่องจากเพิ่งมีการปรับปรุงในส่วนของนักเรียนต่างชาติและจำนวนนักเรียนต่างชาติเพิ่มขึ้นทางวิทยาลัยจึงได้มีการดำเนินการเปิดตึกแยกเป็นตึกเฉพาะของนักเรียนต่างชาติทางด้านหลังของมหาวิทยาลัย มีชื่อว่า International school of Capital Medical university ( 首都医科大学国际学院 ) ชั้นล่างเป็นห้องเรียนและทางด้านห้องดำเนินการต่างๆ ส่วนชั้นบนจะเป็นหอพักนักศึกษาโดยถือว่ามีความสะดวกพอควร ในความเป็นจริงน้องๆทุกคนอาจคิดว่าแบบนี้ก็ง่ายซิเราสามารถโดดเรียนได้ และมหาวิทยาลัยนี้มีการเข้มงวดกวดขัน ในการเข้าเรียนมาก เพราะ ในเวลาส่วนใหญ่จะมี Adviser ประจำปีมาเช็คชื่อและถ้าน้องคนใดไม่มาเข้าเรียนจะมีการโทรตามหรือถ้าบ่อยหรือนานเกินไปในบางเคสจะมีการเปิดห้องแล้วไปปลุกถึงเตียงเลยก็ว่าได้ (ประสบการณ์ตรงจากรุ่นพี่นะครับ หุหุ ) แต่วิชาบางวิชาก็จำเป็นต้องไปเรียนใน Main campus อยู่ครับ เช่นการทดลองในวิชาเรียน แม้ตึก International school of Capital Medical university จะอยู่ด้านหลังของมหาวิทยาลัยแต่ในความเป็นจริงแล้วการรักษาความปลอดภัยไม่ได้มีความยิ่งหย่อนไปเลยเพราะมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เช่น บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าออกตึกได้ในเวลากลางคืน หรือแม้กระทั่งในเวลาดำเนินการถ้าจะเข้าพบ บางครั้งยังจำเป็นต้องมีหนังสือขอเข้าพบเท่านั้นและไม่อนุญาตให้ บุคคลภายนอกเข้าไปยังหอพักนักศึกษาด้านบนอีกด้วย มาถึงในเรื่องที่สำคัญที่สุด และเป็นเรื่องที่ตอบได้ลำบากมากที่สุดคือเรื่อง การเรียนการสอน เพราะด้วยเนื่องจากการตัดสินว่าการเรียนการสอนดีหรือไม่ คงเป็นเรื่องของความพึงพอใจมากกว่า แต่ผมจะขออนุญาตอธิบายคร่าวๆ และต้องขอเชิญน้องมาสัมผัสเอง การเรียนการสอนนี้จะมีทั้งสิ้น 6 ปี โดยปีสุดท้ายจะเรียกกันว่า Internship การเรียนการสอนที่นี่ในส่วนของปีที่ 1 ในขณะที่ผมได้ศึกษาอยู่จะมีเป็นวิชาพื้นฐานทั้งหมด อาธิเช่น Medical physics , General Chemistry , Advance of Mathematic , P.E. , General information of China , Physics & Chemical experiments , Terminology รวมถึงวิชา ภาษาจีน โดยที่นี่วิชาภาษาจีนจะเน้นไปในด้านทักษะของการสนทนาครับ เพราะเชื่อว่าเราทุกคนสามารถเรียนภาษาจีนในทักษะอื่นๆนอกเวลา แต่มหาวิทยาลัยเล็งเห็นความสำคัญในการสนทนากับทางคนไข้มากที่สุด จึงได้มีการเน้นทักษะในด้านนี้ด้วยครับ ในความคิดเห็นส่วนตัวการเรียนในมหาวิทยาลัย อาจารย์ทุกท่านมีความตั้งใจและเอาใจใส่นักเรียนทุกคนในระดับที่ผมพอใจเลยก็ว่าได้ เช่น การสุ่มเลขที่ในการตอบคำถามในชั้นนั่นหมายถึงว่า น้องๆทุกคนต้องเตรียมตัวตอบคำถามอยู่ทุกวินาทีและต้องตั้งใจฟังในทุกการบรรยายจากทางอาจารย์ หรือแม้กระทั้งการให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียน เช่น การยกมือถามคำถาม จากการสังเกตุจะเห็นได้ว่าอาจารย์ทุกท่านมีความตั้งใจในการตอบคำถามและอธิบายอย่างเต็มความสามารถและยังให้โอกาสนักเรียนทุกคนเข้าไปถามนอกเวลาเรียนได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นจากการสังเกตุผมเชื่อว่า ถ้าน้องๆมีความตั้งใจจริงกับการเรียนแพทย์ ณ มหาวิทยาลัย ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารส่วนใหญ่ในการเรียนคือภาษาอังกฤษโดยเมื่อน้องๆมาถึงมหาวิทยาลัย จะมีการทดสอบ ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน โดยถ้านักเรียนคนใดมีพื้นฐานในด้านภาษาอังกฤษที่ไม่ดี มหาวิทยาลัยยินดีปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษของน้องๆทุกคนครับ
สุดท้ายนี้อย่างฝากถึงน้องๆทุกคนที่จะเข้ามาเป็นน้องของพี่ ทั้งจากที่ไหนก็ตาม เราคงไม่สามารถยืนยันได้แน่นอนครับ ว่ามหาวิทยาลัยนี้จะทำให้น้องถึงไปถึงฝั่งฝันที่น้องๆและผมตั้งใจหรือไม่ จริงอยู่ส่วนหนึ่งที่ต้องการจากการให้ความรู้จากคณาจารย์ทุกท่านซึ่งผมคิดว่าส่วนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเพราะอาจารย์ทุกท่านมีความตั้งใจในการให้ความรู้กับน้องๆทุกคน และอีกส่วนหนึ่งคงมาจากน้องๆทุกคนว่าเราจะสามารถเก็บเกี่ยวอะไรจากมหาวิทยาลัยได้มากแค่ไหน ส่วนที่สองนี่ซิที่สำคัญและเป็นส่วนที่น้องๆทุกคนต้องพิสูจน์ตัวเองโดยอาศัยคำสอนของพ่อผมเอาไว้ ท่านบอกว่าสิ่งสองสิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จคือ สติ และ ตั้งใจ บวกกับความฝันที่แน่วแน่ ผมเชื่อแน่ว่าหลายคนที่ได้อ่านความคิดเห็นของพี่ก็คิดว่า…เรามันหัวไม่ดี ไม่เก่ง แต่น้องลืมอะไรเปล่าครับว่าหลายความสำเร็จที่อยู่ใกล้ตัวนั้น ความฉลาดมันแค่น้อยนิด และความพยายามนี่ซิที่ต้องอาศัยมาก เช่น คนที่คนทั้งโลกหาว่าเค้าบ้าและตอนนี้กลับเป็นหนี้บุญคุณของตัวเขาคนนั้นคือ โทมัส เอดิสัน นักวิทยาศาสตร์ที่ประดิษฐ์หลอดไฟคนแรกของโลก เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตราหน้าว่าหัวไม่ดีที่สุดในวงการ แต่ด้วยความพยายามของเขากว่า 1,000 ครั้ง โดยนักวิทยาศาสตร์ในทีมของเขาได้แต่บอกว่า “ถ้าคุณจะทำ..คุณก็ทำไปคนเดียวเถอะนะ” เค้าไม่เคยยอมแพ้กับความฝันของตัวเขาเลยเขายังมีความศรัทธา และเชื่อมั่นว่ายังทำได้ โดยเขาเชื่อว่า ถ้าฉันแพ้ 1,000 ครั้งและฉันหยุดแล้วถ้าครั้งต่อไปมันสำเร็จหละ ฉันจะไม่เสียดายแย่หรือ ครั้งสุดท้ายที่เค้าทำได้และเป็นต้นแบบของหลอดไฟทั่วโลกโดยหลอดไฟต้นแบบมีความยาวนานถึง 48 ชั่วโมง นั่นเป็นแค่ต้วอย่างสั่นๆว่า คนหนึ่งคงจะประสบความสำเร็จในชีวิต ความฉลาดเป็นแค่ส่วนเล็ก ถ้าต้องเทียบกับความพยายามครับ